แกเร็ธ เซาธ์เกต พร้อมรับงานคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

Browse By

ในโลกฟุตบอลอังกฤษที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ข่าวลือ และความคาดหวังจากแฟนบอลมหาศาล ชื่อของ แกเร็ธ เซาธ์เกต กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง เมื่อมีรายงานจากสื่อหลายสำนักว่าเขาเปิดกว้างต่อความเป็นไปได้ในการรับงานผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุคสมัยหลังความไม่แน่นอนทางแท็กติกและผลงานในสนาม

ตามรายงานล่าสุด เซาธ์เกตได้แสดงความสนใจอย่างจริงจังต่อโอกาสในการกลับมาทำงานในระดับสโมสรอีกครั้ง หลังจากใช้เวลาหลายปีในการคุมทีมชาติอังกฤษจนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และเขามองว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคือ “โปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ที่สามารถท้าทายความสามารถของเขาได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม กุนซือวัย 54 ปีรายนี้มีเงื่อนไขสำคัญเพียงข้อเดียว — เขาต้องการ “คำมั่นว่าจะได้รับเวลาอย่างเพียงพอในการสร้างทีมขึ้นใหม่”

ในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน คำว่า “เวลา” อาจกลายเป็นสิ่งหายาก โดยเฉพาะในสโมสรที่ความคาดหวังสูงลิบอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่เคยคุ้นชินกับความสำเร็จในยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่ต้องเผชิญกับความผันผวนทางผลงานและการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมหลายคนในรอบสิบปีหลังสุด นับตั้งแต่ปี 2013 สโมสรแต่งตั้งผู้จัดการทีมมาแล้วถึงห้าคนเต็ม ๆ และแต่ละยุคก็จบลงด้วยความผิดหวังในรูปแบบต่างกันไป

สำหรับเซาธ์เกต เขาเข้าใจสถานการณ์นั้นดี เขาไม่ใช่โค้ชที่หวังความสำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่เชื่อในกระบวนการระยะยาวและการสร้างวัฒนธรรมในทีม เขาเคยพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วกับทีมชาติอังกฤษ ว่าความมั่นคงและความเชื่อมั่นจากผู้บริหารสามารถเปลี่ยนทีมที่เต็มไปด้วยความกดดันให้กลายเป็นทีมที่กล้าเล่น กล้าคิด และกล้าเชื่อในศักยภาพของตัวเอง

เมื่อย้อนกลับไปในปี 2016 ตอนที่เขารับตำแหน่งกุนซือทีมชาติอังกฤษอย่างเป็นทางการ แฟนบอลหลายคนไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถพาทีมชาติไปไกลได้ เพราะผลงานก่อนหน้านั้นของเขากับมิดเดิลสโบรห์ในระดับสโมสรไม่สู้ดีนัก แต่เพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้น เขากลับนำอังกฤษทะลุถึงรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018 และเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูโร 2020 ได้สำเร็จ นั่นคือการเปลี่ยนมุมมองที่ชัดเจนว่าผู้จัดการทีมคนนี้ไม่ได้มีดีแค่การวางแท็กติก แต่ยังมีความสามารถในการสร้าง “ทีมที่มีอัตลักษณ์และจิตใจแห่งผู้ชนะ”

สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องการมากที่สุดในตอนนี้ สโมสรที่ยังคงหาตัวตนไม่เจอมาหลายปี ต้องการผู้นำที่สามารถจัดระเบียบทีมได้ทั้งในและนอกสนาม และในสายตาของบอร์ดบริหารหลายคน เซาธ์เกตคือคนที่เหมาะสมกับบทบาทนั้นอย่างยิ่ง

รายงานจากสำนักข่าวในอังกฤษเผยว่า บอร์ดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้พูดคุยเบื้องต้นกับตัวแทนของเซาธ์เกตแล้ว และได้รับสัญญาณในเชิงบวก เขาแสดงความสนใจในตำแหน่งนี้ แต่ย้ำว่าต้องมี “แผนระยะยาวที่ชัดเจน” พร้อมคำมั่นจากผู้บริหารว่าจะไม่ตัดสินผลงานในระยะสั้น

“ผมรู้ดีว่าการคุมทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีความคาดหวังมหาศาล” เซาธ์เกตให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษ “แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ในทีมชาติคือ คุณไม่สามารถสร้างความสำเร็จได้หากไม่มีเวลาและความเชื่อมั่นในกระบวนการ”

เขายังเสริมอีกว่า “ถ้าผมจะไปรับงานใด ๆ ในระดับสโมสร ผมต้องแน่ใจว่าเรามีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับสิ่งที่จะสร้างขึ้น ไม่ใช่เพียงการไล่ตามผลการแข่งขันรายสัปดาห์ แต่คือการวางรากฐานให้ทีมเติบโตอย่างยั่งยืน”

คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดที่เป็นระบบและระมัดระวัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเซาธ์เกตมาตลอด เขาไม่ใช่โค้ชที่มองแค่เกมต่อเกม แต่จะวางแผนในภาพรวมเสมอ ตั้งแต่การพัฒนาเยาวชน การเลือกผู้นำในทีม ไปจนถึงการสร้างบรรยากาศเชิงบวกในห้องแต่งตัว

ในมุมของบอร์ดบริหารแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด การแต่งตั้งเซาธ์เกตอาจเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของ “ความอดทน” ซึ่งขัดแย้งกับวัฒนธรรมของสโมสรในช่วงหลัง ที่มักเปลี่ยนผู้จัดการทีมบ่อยครั้งเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นใจ

สื่ออังกฤษหลายแห่งระบุว่า หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้บอร์ดของยูไนเต็ดพิจารณาเซาธ์เกตอย่างจริงจังคือบุคลิกที่นิ่ง สุขุม และสามารถจัดการแรงกดดันจากสื่อได้ดีมาก เขาไม่ใช่โค้ชที่ตอบโต้แรงกดดันด้วยอารมณ์ แต่จะใช้เหตุผลและการสื่อสารเพื่อควบคุมสถานการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมต้องการอย่างยิ่งในช่วงที่ข่าวลือต่าง ๆ โหมกระหน่ำไม่หยุด

อีกหนึ่งจุดเด่นของเซาธ์เกตคือความสามารถในการบริหารคน เขามีทักษะด้านจิตวิทยาสูงในการเข้าถึงนักเตะรุ่นใหม่ ทำให้เขาได้รับความเคารพจากผู้เล่นทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์สตาร์อย่างแฮร์รี เคน หรือดาวรุ่งอย่างโคล พาลเมอร์ ทุกคนต่างยืนยันว่าเขาคือ “ผู้จัดการทีมที่เข้าใจนักเตะมากที่สุดคนหนึ่ง”

สิ่งนี้อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องการ เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัญหาภายในห้องแต่งตัวคือหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ทีมไม่สามารถรักษาความต่อเนื่องได้ การมีผู้นำที่เข้าใจนักเตะและสร้างความสามัคคีได้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ

บทวิเคราะห์จาก ทางเข้า ufabet ออโต้ เข้าเร็วไม่สะดุด ชี้ว่า หากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเลือกเซาธ์เกตเข้ามาคุมทีม สโมสรอาจจะได้เห็น “ปรัชญาฟุตบอลที่สมดุล” มากขึ้น เขาไม่ใช่โค้ชที่เน้นรุกเต็มสูบหรือรับลึกจนตั้งกำแพง แต่เลือกใช้ระบบที่เน้นการครองบอลอย่างมีเหตุผลและความยืดหยุ่นตามคู่แข่ง วิเคราะห์ว่าการเข้ามาของเซาธ์เกตจะช่วยปรับสมดุลระหว่างเกมรุกกับเกมรับ ซึ่งเป็นจุดที่ยูไนเต็ดขาดมานาน

ในมุมของแฟนบอล เสียงตอบรับต่อข่าวนี้มีทั้งเห็นด้วยและสงวนท่าที บางส่วนมองว่าเซาธ์เกตอาจไม่เหมาะกับฟุตบอลระดับสโมสร โดยเฉพาะกับทีมใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องการสไตล์การเล่นเร้าใจและผลลัพธ์ที่ชัดเจน ขณะที่อีกฝ่ายกลับมองว่าเขาคือคนที่มีวิสัยทัศน์และสามารถสร้างโครงสร้างทีมระยะยาวได้เหมือนที่เคยทำกับทีมชาติ

ผู้สื่อข่าวจากเดอะการ์เดียนระบุว่า “สิ่งที่เซาธ์เกตต้องการไม่ใช่แค่โอกาส แต่คือความเชื่อมั่นจากคนในสโมสร ถ้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสามารถให้สิ่งนั้นได้ เขาอาจจะกลายเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคหลังเฟอร์กูสัน”

ในด้านแท็กติก เซาธ์เกตมักถูกวิจารณ์ว่าเล่นฟุตบอลอนุรักษ์นิยมเกินไปในบางครั้ง โดยเฉพาะในทัวร์นาเมนต์ใหญ่ที่อังกฤษมักตั้งรับมากกว่าที่แฟนบอลต้องการ แต่ในความเป็นจริง ระบบของเขามีความยืดหยุ่นและเน้นการครองบอลเป็นหลัก เขาเลือกใช้ฟูลแบ็กที่มีความสามารถเชิงรุกสูง และมิดฟิลด์ที่เล่นอย่างมีวินัย ซึ่งเป็นสไตล์ที่เข้ากันได้ดีกับทรัพยากรนักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน

รายงานเพิ่มเติมระบุว่า หากการเจรจาเกิดขึ้นจริง แกเร็ธ เซาธ์เกต จะขอสิทธิ์เต็มในการเลือกทีมงานของตัวเอง และต้องการนำผู้ช่วยคนสนิทอย่างสตีฟ ฮอลแลนด์มาร่วมงานด้วย เพราะทั้งคู่ทำงานร่วมกันในทีมชาติอังกฤษมานานและมีความเข้าใจกันอย่างดี นอกจากนี้ เขายังต้องการให้สโมสรลงทุนในระบบสcouting และการพัฒนาเยาวชนอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมาตลอด

ในช่วงที่ข่าวนี้กำลังเป็นกระแส เดวิด เบ็คแฮม และริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตแข้งปีศาจแดง ก็ออกมาให้ความเห็นสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยเบ็คแฮมกล่าวว่า “แกเร็ธเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูงมาก เขาเข้าใจฟุตบอลอังกฤษอย่างลึกซึ้ง และผมคิดว่าเขามีคุณสมบัติทุกอย่างที่ยูไนเต็ดต้องการ” ขณะที่เฟอร์ดินานด์เสริมว่า “สิ่งที่เราต้องการตอนนี้ไม่ใช่แค่โค้ชเก่ง แต่คือตัวตนใหม่ของสโมสร และเซาธ์เกตมีศักยภาพที่จะสร้างสิ่งนั้นได้”

ในเชิงการบริหาร สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดภายใต้การบริหารของจิม แรตคลิฟฟ์ และ INEOS กำลังวางแผนปรับโครงสร้างฟุตบอลใหม่ทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของเซาธ์เกตที่เน้นการจัดการแบบองค์รวม ทั้งในด้านแท็กติก การสื่อสาร และการบริหารทีมเชิงจิตวิทยา

สิ่งที่ทำให้แฟนบอลบางส่วนเริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวังคือบุคลิกของเซาธ์เกตที่แตกต่างจากผู้จัดการทีมคนก่อน ๆ เขาไม่ใช่คนพูดมากหรือสร้างดราม่า แต่มีความจริงจังและสม่ำเสมอในทุกการตัดสินใจ เขารู้วิธีสร้างทีมที่มีวินัยและบรรยากาศเชิงบวก ซึ่งเป็นสิ่งที่ยูไนเต็ดขาดหายไปนับตั้งแต่หมดยุคเฟอร์กูสัน

บทวิเคราะห์จาก ufabet เว็บตรงทางเข้า เล่นได้ทุกที่ ระบุเพิ่มเติมว่า หากเซาธ์เกตเข้ามาคุมทีม ความเปลี่ยนแปลงแรกที่น่าจะเกิดขึ้นคือการสร้าง “ทีมที่เล่นเพื่อกันและกัน” มากกว่าการพึ่งพาดาวดังเฉพาะตัว เขามักเลือกนักเตะที่มีทัศนคติดีและพร้อมเสียสละมากกว่าคนที่มีชื่อเสียงแต่ไม่เข้ากับระบบ ซึ่งอาจหมายถึงการปรับโครงสร้างรายชื่อผู้เล่นของยูไนเต็ดครั้งใหญ่