Browse By

Monthly Archives: October 2025

แกเร็ธ เซาธ์เกต พร้อมรับงานคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ในโลกฟุตบอลอังกฤษที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ข่าวลือ และความคาดหวังจากแฟนบอลมหาศาล ชื่อของ แกเร็ธ เซาธ์เกต กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง เมื่อมีรายงานจากสื่อหลายสำนักว่าเขาเปิดกว้างต่อความเป็นไปได้ในการรับงานผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุคสมัยหลังความไม่แน่นอนทางแท็กติกและผลงานในสนาม ตามรายงานล่าสุด เซาธ์เกตได้แสดงความสนใจอย่างจริงจังต่อโอกาสในการกลับมาทำงานในระดับสโมสรอีกครั้ง หลังจากใช้เวลาหลายปีในการคุมทีมชาติอังกฤษจนประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และเขามองว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคือ “โปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ที่สามารถท้าทายความสามารถของเขาได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม กุนซือวัย 54 ปีรายนี้มีเงื่อนไขสำคัญเพียงข้อเดียว — เขาต้องการ “คำมั่นว่าจะได้รับเวลาอย่างเพียงพอในการสร้างทีมขึ้นใหม่” ในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน คำว่า “เวลา” อาจกลายเป็นสิ่งหายาก โดยเฉพาะในสโมสรที่ความคาดหวังสูงลิบอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมที่เคยคุ้นชินกับความสำเร็จในยุคเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แต่ต้องเผชิญกับความผันผวนทางผลงานและการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมหลายคนในรอบสิบปีหลังสุด นับตั้งแต่ปี 2013 สโมสรแต่งตั้งผู้จัดการทีมมาแล้วถึงห้าคนเต็ม ๆ และแต่ละยุคก็จบลงด้วยความผิดหวังในรูปแบบต่างกันไป สำหรับเซาธ์เกต เขาเข้าใจสถานการณ์นั้นดี เขาไม่ใช่โค้ชที่หวังความสำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่เชื่อในกระบวนการระยะยาวและการสร้างวัฒนธรรมในทีม เขาเคยพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วกับทีมชาติอังกฤษ ว่าความมั่นคงและความเชื่อมั่นจากผู้บริหารสามารถเปลี่ยนทีมที่เต็มไปด้วยความกดดันให้กลายเป็นทีมที่กล้าเล่น

นายใหญ่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกโรงหนุน ฟิล โฟเด้น

สัญลักษณ์ของฟุตบอลสมัยใหม่ที่งดงามและมีประสิทธิภาพที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และในสัปดาห์นี้ชื่อของ ฟิล โฟเด้น กลับมาอยู่ในพาดหัวข่าวอีกครั้ง หลังจากโชว์ฟอร์มเด่นต่อเนื่องทั้งในเกมพรีเมียร์ลีกและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จนได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามจากผู้จัดการทีมผู้เป็นดั่งพ่อคนที่สองในชีวิตการค้าแข้งของเขา — เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่แห่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกมาให้สัมภาษณ์หลังเกมล่าสุดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและแฝงความภาคภูมิใจ เมื่อถูกถามถึงพัฒนาการของโฟเด้น เขาตอบเพียงสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า “ฟิลกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพของเขา และเขายังจะไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก ผมภูมิใจในตัวเด็กคนนี้เสมอ” คำพูดของเป๊ปอาจฟังดูเรียบง่าย แต่สำหรับคนที่ติดตามทีมเรือใบสีฟ้ามาตลอด มันคือประโยคที่มีความหมายลึกซึ้ง เพราะโฟเด้นคือผลผลิตจากอะคาเดมีของสโมสรโดยตรง และเป็นหนึ่งในนักเตะเพียงไม่กี่คนที่สามารถยืนหยัดในทีมชุดใหญ่ได้ในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันจากนักเตะระดับโลก เมื่อย้อนกลับไปในปี 2016 ที่เด็กหนุ่มจากสต็อกพอร์ตอายุเพียง 16 ปี ถูกดึงขึ้นมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรก หลายคนยังไม่รู้จักชื่อของเขาด้วยซ้ำ แต่เป๊ปมองเห็นบางสิ่งในตัวของโฟเด้น สิ่งที่ไม่สามารถวัดได้ด้วยตัวเลขหรือสถิติ เขาเคยพูดกับทีมงานว่า “เด็กคนนี้มีสายตาในการเล่นที่แตกต่างจากใครทั้งหมด เขาเห็นช่องที่คนอื่นไม่เห็น และเขาเล่นฟุตบอลเหมือนมันเป็นภาษาธรรมชาติของชีวิต” แปดปีผ่านไป คำพูดนั้นพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริงทุกประการ โฟเด้นไม่เพียงเติบโตขึ้นมาเป็นนักเตะตัวหลักของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคทองในทีมที่กวาร์ดิโอล่าสร้างขึ้น เขาเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้า

อเล็กซานเดอร์ อีซัค ลุ้นสร้างสถิติทั้งดีและแย่

ในบรรดาผู้เล่นที่ได้รับการจับตามองมากที่สุด หนึ่งในนั้นคือ อเล็กซานเดอร์ อีซัค กองหน้าชาวสวีเดนของลิเวอร์พูล ที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของอาชีพค้าแข้ง เพราะเกมนี้เขามีโอกาสสร้างสถิติทั้งดีและแย่ ฟุตบอล ในเวลาเดียวกัน — สถิติที่อาจถูกพูดถึงไปอีกนานไม่ว่าจะจบลงในทางใดก็ตาม อีซัคซึ่งย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาในดีลที่สร้างความฮือฮาทั่วอังกฤษ ด้วยค่าตัวกว่า 70 ล้านปอนด์หลังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด กลายเป็นหัวใจสำคัญในแผนการทำทีมของอาร์เน่ สลอต กุนซือชาวดัตช์คนใหม่ของหงส์แดง การย้ายครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างแนวรุกยุคใหม่ที่มีทั้งความเร็ว ความคล่องตัว และการจบสกอร์เฉียบคม อีซัคซึ่งย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาในดีลที่สร้างความฮือฮาทั่วอังกฤษ ด้วยค่าตัวกว่า 70 ล้านปอนด์หลังโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด กลายเป็นหัวใจสำคัญในแผนการทำทีมของอาร์เน่ สลอต กุนซือชาวดัตช์คนใหม่ของหงส์แดง การย้ายครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างแนวรุกยุคใหม่ที่มีทั้งความเร็ว ความคล่องตัว และการจบสกอร์เฉียบคม แต่ในขณะที่หลายคนคาดหวังให้เขากลายเป็น “คีย์แมนคนใหม่ของลิเวอร์พูล” เส้นทางของอีซัคในถิ่นแอนฟิลด์กลับไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด แม้เขาจะทำประตูได้ต่อเนื่องในช่วงต้นฤดูกาล แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเจอกับปัญหาความเฉียบคมที่ลดลง บวกกับอาการบาดเจ็บเล็กน้อยทำให้จังหวะการเล่นสะดุด เกมที่จะไปเยือนเชลซีจึงกลายเป็นแมตช์ชี้ชะตา — ไม่เพียงสำหรับคะแนนของทีม แต่ยังรวมถึงสถิติส่วนตัวที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพของเขา สถิติแรกที่อีซัคมีโอกาสสร้างคือการเป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลคนแรกในรอบ 15

มาเรสก้า เข้าใจหงส์ต้องใช้เวลาเรื่องโชต้า

มาเรสก้า เสียงพูดคุยของทีมสตาฟฟ์และนักเตะลิเวอร์พูลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของ ดิโอโก้ โชต้า ถูกพูดถึงกันเบา ๆ แต่ทุกคนรู้ดีว่านี่คือเรื่องใหญ่ที่อาจส่งผลต่อทิศทางของทีมในช่วงสำคัญของฤดูกาล จนกระทั่งล่าสุด เอ็นโซ่ มาเรสก้า ผู้จัดการทีมเชลซี ซึ่งเคยร่วมงานกับโชต้าในช่วงสั้น ๆ ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกมาแสดงความเข้าใจและให้กำลังใจ พร้อมกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ลิเวอร์พูลต้องใช้เวลาในการจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม เพราะโชต้าเป็นนักเตะที่มีคุณค่ามหาศาล” คำพูดของมาเรสก้าไม่ใช่แค่ถ้อยคำให้กำลังใจธรรมดา แต่มันสะท้อนถึงความเข้าใจเชิงลึกของผู้จัดการทีมคนหนึ่งที่รู้ดีว่าการเสียผู้เล่นตัวสำคัญในช่วงเวลาที่ทีมกำลังไล่ล่าความสำเร็จนั้นกระทบแค่ไหน เขากล่าวในงานแถลงข่าวก่อนเกมพรีเมียร์ลีกว่า “โชต้าไม่ใช่แค่นักเตะที่ยิงประตูได้ แต่เขาคือหัวใจในระบบการเพรสซิ่งของลิเวอร์พูล เขาทำงานหนักในทุกจังหวะ และการขาดเขาไปไม่ใช่เรื่องที่แก้ได้ภายในวันเดียว” ในช่วงเวลาที่ลิเวอร์พูลภายใต้การคุมทีมของอาร์เน่ สลอตกำลังพยายามสร้างความต่อเนื่องหลังยุคเยอร์เก้น คล็อปป์ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของโชต้าถือเป็นปัญหาที่สร้างแรงกดดันให้กับทั้งทีมและกุนซือใหม่ สลอตรู้ดีว่าโชต้าคือหนึ่งในนักเตะที่มีอิทธิพลมากที่สุดในแนวรุก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนที่โดยไม่ต้องมีบอล ความสามารถในการหาพื้นที่ และการเล่นเกมรับจากแดนหน้า ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ระบบของเขาต้องการ โชต้าได้รับบาดเจ็บจากเกมพรีเมียร์ลีกนัดที่แล้ว หลังปะทะกับกองหลังของทีมคู่แข่งในจังหวะที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับส่งผลกระทบรุนแรงกว่าที่คาด รายงานจากทีมแพทย์ของลิเวอร์พูลระบุว่าเป็นอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อแฮมสตริง ซึ่งต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายสัปดาห์ ส่งผลให้เขาจะพลาดเกมสำคัญทั้งในพรีเมียร์ลีกและศึกยุโรปในช่วงเดือนนี้ ข่าวนี้ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลทั่วโลกตกใจ เพราะโชต้าเพิ่งกลับมาฟิตสมบูรณ์ได้ไม่นานหลังจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ และกำลังอยู่ในช่วงฟอร์มดี ยิงได้หลายเกมติดต่อกัน

รูเบน อาโมริม ยืนยันไม่มีแผนลาออกจากกุนซือปีศาจแดง

ท่ามกลางกระแสความกดดันที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากทั้งสื่อมวลชนและแฟนบอลทั่วโลก รูเบน อาโมริม ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมายืนยันชัดเจนอีกครั้งว่า เขาไม่มีแผนจะลาออกจากตำแหน่งกุนซือของ “ปีศาจแดง” แม้ทีมจะอยู่ในช่วงฟอร์มตกและเจอกับเสียงวิจารณ์อย่างหนักก็ตาม กุนซือชาวโปรตุกีสวัย 39 ปี ย้ำว่าตนยังคงมุ่งมั่นที่จะพาทีมกลับมาสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ และเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นภายในสโมสรจะเริ่มเห็นผลในไม่ช้า คำแถลงของอาโมริมเกิดขึ้นหลังเกมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพ่ายแพ้อีกครั้งต่อคู่แข่งร่วมลีก ส่งผลให้ทีมหล่นลงไปอยู่อันดับกลางตารางคะแนน ท่ามกลางข่าวลือหนาหูว่าเขาอาจถูกกดดันให้ลาออกหรือถูกปลดออกจากตำแหน่งในเร็ววัน อย่างไรก็ตาม กุนซือหนุ่มจากลิสบอนกลับแสดงความหนักแน่นและความมั่นใจเต็มเปี่ยมในการแถลงข่าวหลังเกม “ผมรู้ว่าความคาดหวังของที่นี่สูงมาก และเมื่อผลการแข่งขันไม่เป็นไปตามที่แฟนบอลต้องการ เสียงวิจารณ์ก็จะดังขึ้นเป็นเรื่องปกติ” อาโมริมกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ “แต่ผมขอยืนยันว่าผมไม่มีแผนจะลาออก ผมมาที่นี่เพื่อสร้างบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่และผมจะไม่หนีจากความท้าทายนี้เด็ดขาด” ประโยคดังกล่าวกลายเป็นหัวข้อข่าวในสื่ออังกฤษเกือบทุกสำนักในเช้าวันถัดมา แสดงให้เห็นว่าประเด็นเรื่องอนาคตของกุนซือแมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงเป็นสิ่งที่สังคมฟุตบอลจับตามองอย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่เขาเข้ามารับตำแหน่งต่อจากเอริก เทน ฮาก เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แฟนบอลคาดหวังว่าอาโมริมจะนำเอาปรัชญาฟุตบอลสมัยใหม่ที่เคยสร้างชื่อในลีกโปรตุเกสมาปรับใช้กับทีมยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมียร์ลีก แต่จนถึงตอนนี้ ผลลัพธ์ในสนามยังไม่เป็นไปตามที่ทุกฝ่ายหวัง แม้ฟอร์มการเล่นจะไม่สม่ำเสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคืออาโมริมพยายามสร้างทีมขึ้นใหม่จากรากฐาน เขาให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งหลายคนได้ลงสนาม และพยายามปรับระบบจากเดิมที่เน้นเกมรับของยุคก่อนหน้า มาเป็นฟุตบอลที่เน้นการเพรสซิ่งสูงและครองบอลในแดนคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต้องใช้เวลา และนั่นคือสิ่งที่แฟนบอลบางส่วนอาจยังไม่เข้าใจ

บอร์นมัธ ขึ้นรองจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกครั้งแรก

เสียงนกหวีดสุดท้ายดังขึ้นที่สนามไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม ท่ามกลางเสียงเฮสนั่นจากแฟนบอลเจ้าถิ่น บอร์นมัธ เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสโมสร หลังจบเกมพรีเมียร์ลีกสุดสัปดาห์ที่พวกเขาเอาชนะคู่แข่งอย่างขาดลอยและขยับขึ้นรั้ง รองจ่าฝูงของตารางคะแนนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร นี่คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ความตื่นเต้น และการยืนยันว่าทีมเล็กจากชายฝั่งตอนใต้ของอังกฤษ สามารถก้าวขึ้นมาท้าทายบรรดายักษ์ใหญ่ในลีกที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกได้อย่างแท้จริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชื่อของบอร์นมัธอาจไม่ใช่ทีมที่สื่ออังกฤษพูดถึงบ่อยนัก พวกเขาไม่ใช่สโมสรเงินถุงเงินถัง ไม่มีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ แต่สิ่งที่ทำให้ทีมนี้แตกต่างคือ “หัวใจ” ของนักเตะและแนวทางฟุตบอลที่มุ่งมั่นมาตลอด ภายใต้การคุมทีมของ อันโดนี่ อิราโอล่า กุนซือชาวสเปนวัย 42 ปี บอร์นมัธกลายเป็นทีมที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน เล่นเกมรุกดุดัน เพรสซิ่งสูง และไม่กลัวที่จะเปิดเกมใส่ทีมใหญ่ ซึ่งผลลัพธ์ในฤดูกาลนี้คือภาพสะท้อนของการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถไต่ขึ้นมาถึงตำแหน่งรองจ่าฝูงได้ หลังจากเปิดฤดูกาลด้วยฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอ บอร์นมัธเริ่มจับจังหวะได้ในช่วงเดือนตุลาคม พวกเขาเก็บชัยชนะติดต่อกันหลายนัด รวมถึงชัยชนะเหนือทีมระดับกลางตารางและการแบ่งแต้มจากทีมใหญ่ในแบบที่เต็มไปด้วยแท็กติกเฉียบคม เกมที่พลิกจุดเปลี่ยนคือการเอาชนะนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 2-1 ในบ้าน ก่อนตามมาด้วยการคว้าชัยชนะเหนือลิเวอร์พูล 1-0 ซึ่งเป็นเกมที่ทำให้ทั้งสื่อและแฟนบอลทั่วประเทศเริ่มหันมามองทีมนี้อย่างจริงจัง สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในบอร์นมัธยุคอิราโอล่าคือระบบการเล่นที่มีวินัยและความเข้าใจในแท็กติก นักเตะทุกคนรู้บทบาทของตนเองในสนามอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการไล่เพรสซิ่งในจังหวะสูงหรือการตั้งรับในพื้นที่ต่ำ ทีมเคลื่อนที่ไปพร้อมกันเหมือนเครื่องจักร แม้จะไม่มีชื่อดังระดับโลก